วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

สวย เลือกได้


    ผู้ทุกข์ที่มาปรึกษารายนี้ ถือได้ว่าเป็นคนที่โชคดีผสมกับความโชคร้าย
โชคดีที่...เธอเป็นคนสวย รวย เก่ง เรียนดี ใครๆจึงนึกว่าเธอโชคดีมีสิทธิ์ที่จะเลือกงานที่ดีๆ และเลือกผู้ชายที่เหมาะสมไว้เป็นคู่ครองได้ไม่ยาก
แต่โชคร้ายที่กลับไม่เป็นเช่นนั้น
เรื่องงาน...เธอสามารถหางานได้ในองค์กรที่มีชื่อเสียง มีอนาคต เงินเดือนดี
แต่ทำไปได้สักพักก็ลาออกและหาใหม่อีก ซึ่งก็หาได้ไม่ยาก แต่ก็อยู่ได้ไม่นาน เธอเปลี่ยนงานมา 4-5 ครั้งแล้วในรอบ 1 ปีเศษ
เมื่อเธอเลือกผู้ชายมาเป็นแฟน เธอมีโอกาสได้เลือกผู้ชายที่หล่อ รวย เรียนเก่ง มีอนาคต
แต่เธอคบหากับผู้ชายเหล่านั้นได้ไม่นานก็เลิกรากันไป แล้วก็มีคนใหม่ที่เป็นคนมีคุณสมบัติดีเพียบพร้อมเข้ามาอีก
เธอเล่าว่า...เธอพบแต่ผู้ชายหล่อที่เก่งเรื่องการเรียนและการงาน แต่ไม่เก่งเรื่องชีวิตเลย เอาตัวไม่รอดในเรื่องการดำเนินชีวิต การบริหารเวลา การจัดสัดส่วนของชีวิต การงาน และครอบครัว
เธอบอกว่า...ผู้ชายที่หล่อและรวยนั้น มักไม่ค่อยเอาไหน ดูแลคนอื่นไม่เป็น ดูแลตัวเองก็ยังไม่เป็น! มักจะห่วงกังวลเกี่ยวกับตัวเอง ปรนเปรอตัวเองสุดๆ เพราะเคยถูกปรนเปรอมามากจากครอบครัวและคนรอบข้าง รวมทั้งผู้หญิงคนก่อนๆ เขาไม่เอาใจเธอ ไม่แคร์เธอ และไม่รู้วิธีที่จะเอาใจ หรือ แคร์เธอด้วย
เธออยากให้เขาใส่ใจ สนใจเธอบ้าง แต่เขาไม่สามารถให้เธอได้ เธอรู้สึกผิดหวังและสุดท้ายก็ต้องจากกัน
ผมเคยวิเคราะห์และถามเธอว่า...เธอเลือกคบผู้ชายเหล่านั้นเพราะคิดว่าเขาเป็นคนที่สมบูรณ์แบบใช่ไหม?
เธอตอบว่า ใช่

ผมบอกว่า ไม่มีใคร Perfect สมบูรณ์แบบหรอก ทุกคนมีข้อบกพร่องทั้งนั้น
เมื่อเธอเริ่มใส่ใจเขาเพราะคิดว่าเขาดีพร้อม จึงทำให้มีอคติและเริ่มชอบเขามากขึ้น เมื่อเวลาผ่านไปเธอก็เริ่มเห็นข้อบกพร่องของเขา เธอจึงทนไม่ได้ รับไม่ได้ และต้องเลิกกัน
แต่เธอก็ยังเสียดายคุณสมบัติดีๆ ที่ Perfect ของเขาอยู่ดี
คำถามก็คือ...เธอรักเขาเพราะเขาเป็นคน Perfect จริงๆ หรือ ?
หรือ...เพราะเธอรักเขา เธอจึง (หลงผิด) คิด ว่าเขาเป็นคน Perfect?
ความอคติทำให้สนใจและชอบ จึงหลงผิด คิดผิด ให้เครดิตหรือประเมินค่าเขาสูงกว่าที่เป็นจริง ทำให้เธอผิดหวังเมื่อเธอเริ่มเข้าสู่สภาวะปกติ และมองเห็นความเป็นตัวตนแท้ๆของเขาได้ว่า เขาไม่ได้ดีดังที่คิดเอาไว้
ผู้หญิงทั่วไปมักชอบผู้ชายหน้าตาหล่อ และก็มักจินตนาการไปเองว่าเขาต้องมีจิตใจดี มารยาทงาม โดยลืมนึกไปว่าคนหน้าตาดีมักจะหานิสัยดีตามหน้าตาได้ยาก
ผมแนะนำให้เธอยอมรับความจริงให้ได้ว่า ไม่มีใครดีสมบูรณ์แบบหรอก เธอต้องรักผู้ชายเหล่านั้นในความไม่สมบูรณ์แบบของเขาให้ได้ เธอจึงจะมีโอกาสสัมผัสความรักได้
ไม่เช่นนั้นเธอจะพบแต่วงจรของการ หลง - รัก - เลิก ไปเรื่อยๆ
แม้เรื่องงานก็เช่นกัน ไม่มีงานไหนดีสมบูรณ์แบบหรอก แรกๆก็แลดูดี ต่อๆไปก็มองเห็นว่าล้วนมีข้อบกพร่องที่เธอไม่ชอบทั้งนั้น
เธอเคยเสียใจมากทั้งเรื่องแฟนและเรื่องงาน เพราะใครๆก็ชอบพูดว่า สวยอย่างเธอ เลือกได้สบายทั้งแฟนและงาน
ผมบอกว่ามนุษย์ทุกคน(ทั้งสวยและไม่สวย)มีสิทธิ์จะเลือก แต่ต้องเลือกอย่างฉลาด เช่น
1. เลือกที่จะไม่เลือกอย่างเอาจริงเอาจัง เพราะทุกอย่างจะเป็นอนิจจัง เดี๋ยวก็ดี แล้วก็ไม่ดี เปลี่ยนแปลงได้เรื่อยๆ อย่าไปจริงจังมาก จะทุกข์มาก
2. เลือกที่จะอยู่กับความเป็นธรรมชาติ รับความเป็นธรรมชาติ จะลดอคติได้มาก เพราะรู้เท่าทันธรรมชาติว่าล้วนมีความไม่แน่นอน
3. เลือกที่จะรับผิดชอบในสิ่งที่เลือก ทำให้ดีที่สุด เมื่อได้ผลไม่ดี ไม่ถูกใจ ก็เลือกใหม่ โดยวนไปหาข้อ 1 ได้
4. เลือกที่จะพัฒนาตัวเองและจิตใจให้มีระดับสูงขึ้น เพื่อจะได้เข้าใจ ยอมรับธรรมชาติของชีวิตและโลกได้มากขึ้นแล้วจะเข้าใจได้เองว่า ทุกอย่างไม่ต้อง Perfect ก็อยู่ร่วมได้ รักได้ และทำงานด้วยได้ และไม่คาดหวังจะได้พบผู้ชายหรืองานที่ Perfect ดีพร้อมต่อไป
อ่านบทความวันนี้แล้วคงจะเห็นใจสาวสวยคนนี้บ้างนะ และคงจะมีคำตอบแล้วว่า สวย-เลือก-ได้-จริงหรือ?

โดย ศ.ดร.นพ.วิทยา นาควัชระ (จิตแพทย์)

ที่มา : ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์ , 22 กันยายน 2554
************************************************************************

นี่ไง...ผู้ชายดูดี


 มนุษย์เพศชายดูจะเป็นเพศที่สังคมให้ความหวังว่าจะเป็นผู้นำสังคมตลอดมาและเขาควรจะเป็นคนที่ดูดี มี class มีวุฒิภาวะ จึงจะเหมาะสมกับการเป็นผู้นำผู้ชายมักจะภูมิใจในเพศชายของเขามาก เวลาใครบอกว่าเขามีมาดแมน เป็นลูกผู้ชายเต็มตัว เขาจะยิ้มกว้าง ทำท่ายืดๆ พอใจและภูมิใจ ถ้ามีใครไปว่าเขาว่าเป็นหน้าผู้หญิง หรือเอาผ้าซิ่นไปนุ่งเสีย เขาจะโกรธจนแทบจะฆ่ากันได้ ผู้ชายก็มีหลายระดับ มีทั้งที่ดูดี ธรรมดา และไม่เข้าท่า วันนี้จะพูดถึงลักษณะของผู้ชายที่ดูดีว่ามีอะไรบ้าง
ผมคิดว่าผู้ชายที่ดูดีควรมีลักษณะดังนี้
1. นิ่ง ความนิ่งไม่ใช่ความซื่อบื้อ แต่เป็นความสงบทางใจจากภายในที่สามารถควบคุมอารมณ์ต่าง ๆ ได้ดี ไม่ตื่นเต้นดีใจมาก หรือ ฟูมฟายยามผิดหวัง กริยาท่าทางไม่ว่อกแว่ก ล่อกแล่ก
ไม่พูดทุกอย่างที่คิด แต่คิดทุกคำที่จะพูด ถ้าจะแสดงกริยาหรือทำอะไรต้องคิดก่อนว่าเหมาะสมไหม
ความนิ่งเป็นลักษณะของนักปราขญ์ ถ้าแถมด้วยความพร้อมจะแย้มยิ้มเล็กน้อยได้ทุกโอกาส จะทำให้เหมือนนักปราชญ์ที่..ใจดี
2. หนักแน่น ความหนักแน่นเป็นความอดทน อดกลั้น เขาต้องอดทนต่อสิ่งไม่พอใจภายนอกได้ และอดกลั้นต่อสิ่งเร้าที่ไม่สุขใจจากภายใน
ความหนักแน่นจะทำให้น่าเชื่อถือ มีคนให้ความเคารพเกรงใจ สามารถควบคุมอารมณ์ คำพูด และการกระทำ และการแสดงออกได้ดีอย่างเหมาะสม

3. นุ่มนวลทั้งคำพูดและการแสดงออก ความนุ่มนวลเป็นมารยาทของผู้ที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาดี
มีการควบคุมจากภายในได้ดี ร่วมกับมีแบบอย่างที่เหมาะสมในการดำเนินชีวิตตลอดมา เขาจะแสดงกริยาภาษาพูดออกมานุ่มนวล แต่ไม่นุ่มนิ่ม ภาษาที่พูดจะชัดเจน ไม่กระด้าง มีหางเสียง อ่อนโยนและแฝงความเมตตา กริยาที่แสดงออกมาก็ไม่กระด้าง คล่องแคล่ว มีชีวิตชีวา และสง่างาม

4. มีสติ และปัญญา 
   มีสติ อยู่กับปัจจุบัน รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ เตือนตัวเองได้เสมอ ไม่ฟุ้งซ่าน พูดมากหรือแสดงออกมากไป มีสามัญสำนึกดี

มีปัญญา คือมีความฉลาดในการจะเลือกคิด เชื่อ พูด ทำ หรือแก้ปัญหาในชีวิตได้อย่างเหมาะควร เกิดประโยชน์ทั้งกับตัวเองและคนอื่นเช่นเลือกเชื่อกฎแห่งกรรม และสมัครใจจะทำความดีมีคุณธรรมให้มากขึ้น การมีปัญญา (Wisdom) นี้สำคัญกว่าการมีความฉลาด (IQ) คนมี IQ สามารถเรียนได้จบปริญญาตรี โท เอก แต่ถ้าขาดปัญญาก็มักจะไม่ค่อยเจริญรุ่งเรืองในชีวิต แต่คนที่มีปัญญา (Wisdom) แม้จะเรียนน้อย ก็มักจะประสบความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตเสมอ สายตาของผู้ชายจะไวกว่าสายตาของผู้หญิง แต่ถ้าเขาเป็นผู้ชายดูดีมีปัญญา เขาต้องรู้ว่าเขาควรจะตัดสินด้วยสมองมากกว่าสายตา...เสมอ!
5. รับผิดชอบ เป็นคุณธรรมขั้นสูง บ่งบอกถึงความมีวุฒิภาวะและความรักสังคม
6. เสียสละ เป็นความรักมนุษย์ที่ยิ่งใหญ่กว่าความรักทั่วไป ถ้าใครมีคุณสมบัติดังนี้ จะมีคนนับถือยกย่องมาก
7. มีบุคลิกภาพภายนอกดี
ก) ไม่จำเป็นต้องหล่อ แค่สมาร์ทก็ได้
ข) แต่เขาต้องแข็งแรง เพราะออกกำลังกายเป็นประจำ ทำให้ร่างกายมีสมดุลทั้งในยามอยู่นิ่งๆ หรือเคลื่อนไหว
ค) สะอาด ร่างกายสะอาดปราศจากกลิ่นเหม็นทั้งหลายทุกที่ รวมทั้งไม่มีกลิ่นปากกลิ่นตัวด้วย

ง) แต่งกายตามสมัยนิยม ไม่ล้ำสมัยและไม่ล้าสมัย

สีที่ใช้ก็เป็นสีสุภาพ ไม่ฉูดฉาด ไม่เน้นแบรนด์เนม ของแพง ไม่แต่งกายอวดสรีระ หรือเรียกความสนใจ ซึ่งอาจเตะตาตอนแรก แต่ต่อไปจะน่าเบื่อและไม่แต่งกายล้าสมัยหรือเชย เพราะจะทำให้คนดูแคลนได้
ชุดที่ควรมีคือ เสื้อสีขาวแขนยาว กางเกงสีเข้ม ดำ หรือเทา รองเท้าหุ้มส้นสีดำ ใช้ได้ทุกงาน ถ้าจะให้ดีขึ้นอีกก็ผูกเน็คไทสีเข้มๆ ลายเล็กๆ สุภาพ ไม่เป็นลายฉูดฉาดสีลูกกวาด ถ้าจะใส่แจ๊กเก็ตก็เลือกสีที่เข้ากับกางเกง ใช้ได้ทุกงาน ลงทุนไม่มากด้วยและแลดูดีเสมอ เกิดเป็นผู้ชายก็ยากลำบาก ตามศาสนาพุทธกล่าวไว้ แต่การจะเป็นผู้ชายดีๆ ที่ดูดี ยิ่งยากขึ้นไปอีก โดยเฉพาะพวกหัวดื้อ หัวรั้น ที่ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ที่มักจะรักอิสระตามใจตัวเอง และไม่ยอมรับกฎเกณฑ์กติกามารยามสังคมและคุณธรรมทั้งหลาย
 
ศ.ดร.นพ.วิทยา นาควัชระ(จิตแพทย์)
 
***********************************************************************




วิธีทำตัวให้คนอื่นศรัทธา


ผมไปเที่ยวภูฏานมาเมื่อเร็ว ๆ นี้
ภูฏาน ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีประชากรมีความสุขมากในลำดับต้นๆ ของโลก มีภูมิประเทศสวยงาม เป็นหุบเขาสลับภูเขาสูงชัน ความสูง 2,000-7,000 เมตร อากาศหนาว-เย็นสบายทุกฤดู มีป่าไม้อุดมสมบูรณ์ ประชากรรักความสงบและเรียบง่าย อยู่กับธรรมชาติ ยังไม่ฟุ้งเฟ้อแบบสังคมบริโภคนิยม นับถือศาสนาพุทธมหายาน นิยมเข้าวัดทำสมาธิ สวดมนต์ แต่งกายประจำชาติ ไม่กินเนื้อสัตว์ และยังมีรอยยิ้มที่บริสุทธิ์ ใสซื่อ ให้เห็นได้ทั่วไป
ได้ไปเที่ยวหลายเมือง เช่น เมืองหลวงทิมพู ปูนาคา วังดีโปดรัง และเมืองพาโรที่มีสนามบินนานาชาติเล็กๆ ตั้งอยู่
แต่ละเมืองจะมีซอง (Dzong) ซึ่งเป็นเหมือนป้อมปราการในอดีตที่ขณะนี้เป็นที่พำนักของสงฆ์อยู่รวมกับสถานที่ทำงานของรัฐบาล มองไกลๆ เหมือนปราสาท หรือวังใหญ่ๆ ใหญ่โตและโก้มาก
ที่เมืองพาโรได้ไปชมพาโรซองซึ่งสร้างขึ้นในปี 1645 เด่นตระหง่านในหุบเขาพาโร ทางเข้าตัวซองจะมีสะพานไม้ที่สวยงามทอดผ่านแม่น้ำเพื่อเข้าสู่ตัวซอง ที่นี่เคยเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Little Buddha มาแล้ว ปัจจุบันพาโรซองเป็นทั้งสถานที่สำหรับส่วนบริหารเมืองพาโรและส่วนที่เป็นวัด มีพระสงฆ์จำพรรษาอยู่ประมาณ 200 รูป
และที่เมืองพาโรนี้ ได้เข้าพักที่โรงแรมเปิดใหม่แห่งหนึ่งโก้และแพงมาก เป็นแบบ Boutique Hotel ตั้งอยู่บนยอดเขาสูง ห้องพักแยกอยู่ตามอาคารเดี่ยวบนเนินเขารายเรียงกันไป มีห้องนอนที่ใหญ่โตและห้องน้ำที่สะอาดกว้างขวาง
ในยามเย็นและเช้าที่มีอากาศดีจะมองเห็นยอดของเทือกเขาหิมาลัยชัดเจน อยู่เบื้องหลังของทิวเขาสูงชันที่อยู่เบื้องหน้า
กว่าจะได้เห็นยอดเทือกเขาหิมาลัยก็ต้องรอคอยด้วยความตั้งใจ บางครั้งก็มีเมฆหมอกมาบัง ทำให้เห็นไม่ชัด คอยอีกสักพักก็มองเห็นใหม่ได้ เวลามองเห็นชัดทุกคนจะชี้ชวนให้มองเหมือนได้เห็นสิ่งที่รอคอย....ด้วยศรัทธา

ผมเกิดความคิดว่า....

อะไรที่สูงมากพอ (คนตำแหน่งสูง วาสนาสูง ภูเขาสูง) มักไม่ clear มองเห็นไม่ชัดเจน มักจะแลดูลึกลับหน่อยๆ นานๆ จะได้เห็นชัดๆ ประจักษ์สักที ทำให้ผู้คนรอคอยที่จะได้มองเห็น

ด้วยความสูงร่วมกับความไม่กระจ่างชัดนี้ ทำให้คนอยากรู้ อยากเห็น และสนใจใคร่จะได้เห็น

และถ้าสิ่งที่สูงร่วมกับความไม่กระจ่างชัดนี้สามารถให้คุณประโยชน์ได้ คนจะ “ศรัทธา” ทันที

คนในสมัยโบราณจึงศรัทธาต้นไม้สูงๆ ภูเขาสูงๆ ที่มองเห็นไม่ชัด และคิดว่าจะให้คุณประโยชน์ได้โดยการอธิษฐานหรือบนบาน หรือเอาไว้เป็นที่พึ่งทางใจ โดยเฉพาะพวกที่นับถือลัทธิผีหรือไสยศาสตร์ จะศรัทธามาก

ในความเป็นมนุษย์ที่เหมือนกัน กว่าเราจะศรัทธาใครสักคน เขาก็ต้องมีคุณสมบัติเข้าข่ายเดียวกันดังนี้ คือ

1. เป็นคน “สูง” มากพอ ด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง เช่น ชาติตระกูล อายุ ความสามารถ ตำแหน่งหน้าที่ การงาน ความดี ประสบการณ์ชีวิต และที่สำคัญคือต้องมีจิตใจสูงมากพอ

2. ไม่สามารถเห็นได้ชัดบ่อยนัก คือไม่สามารถพบปะสนิทสนมได้ง่ายนัก ถ้าคุ้นเคยมากไป จะมองเห็นทุกอย่างรวมทั้งสิ่งบกพร่องที่เขามีอยู่ (ซึ่งมนุษย์มีสิ่งบกพร่องทุกคน) จะทำให้ศรัทธาได้ยาก

บุคคลที่ผู้คนศรัทธานั้นจึงมักมีบุคลิกพิเศษ เช่น มีความนิ่ง สงบ ไม่พูดมาก ไม่แสดงออกทั้งหมดทั้งทางอารมณ์และความรู้สึก มีวุฒิภาวะ รู้จักสำรวม มีลักษณะของนักปราชญ์ นักคิด

พวกนี้มี “อะไรๆ “ สูงๆ แต่พูดมาก แสดงออกทั้งทางกิริยาท่าทางและภาษาพูดแบบไม่นิ่ง ไม่สุขุม ไม่มีวุฒิภาวะ ผู้คนไม่ศรัทธาหรอก ทั้งที่เป็นมนุษย์ธรรมดาหรือนักบวช ผู้คนอาจชอบดู ชอบฟัง แต่ก็เหมือนดูนักแสดงละครหรือตัวตลก
3. สามารถให้คุณประโยชน์ได้ เช่น สามารถให้คุณหรือโทษได้ สามารถแนะนำสั่งสอนหรือช่วยเหลือเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่บุคคลทั่วไปได้
ถ้าคุณอยากให้มีคนศรัทธาคุณ ทั้งคนที่บ้าน (ญาติ พี่น้อง สามี-ภรรยา ลูก) หรือที่ทำงาน (นาย ลูกน้อง เพื่อนร่วมงาน) แม้แต่เพื่อนฝูงก็ลองๆ ทำอย่างที่ผมกล่าวถึงดูเถิด จะมีคนศรัทธาคุณมากขึ้น

แต่ที่สำคัญคุณต้องศรัทธาตัวเองให้ได้ด้วย โดยการทำตัวเองให้น่าศรัทธาดังกล่าวแล้วให้ได้เสียก่อน...แล้วคุณรู้สึกศรัทธาตัวเองได้จริงๆ..ด้วย


ศ.ดร.นพ.วิทยา นาควัชระ(จิตแพทย์)
 
*********************************************************************************


ให้สิ่งดีๆ ในหัวใจ สี่ห้อง

บนโต๊ะทำงานของผมมีกระดาษชิ้นเล็กๆ เขียนข้อเตือนใจไว้ 4 ข้อ คือ

ความเชื่อ (BELIEVE)
ความหวัง (HOPE)
ความรัก (LOVE)
การอภัย (FORGIVE)
ดูๆ เหมือนจะเป็นการขัดกับกิจวัตรที่พยายามทำทุกวัน คือ การทำสมาธิเพื่อให้สงบ (สมถะกรรมฐาน) และการทำสมาธิเพื่อให้รู้ทันถึงความเคลื่อนไหวและการเปลี่ยนแปลง (วิปัสสนากรรมฐาน) เพื่อให้เกิดการปล่อยวางและพยายามจะปล่อยวางทุกๆ สิ่ง แต่ทั้ง 4 ข้อเตือนใจนี้ ผมก็ยังใช้อยู่เสมอเพราะเชื่อว่าคนเราต้องมีความเชื่อ ความหวัง ความรัก และการอภัยเสมอ จึงจะทำให้เกิดความปกติสุขในชีวิตปัจจุบันได้
ความเชื่อ (BELIEVE)

เกิดจากการได้ยินได้ฟังบ่อยๆ เราต้องเลือกเชื่อให้เป็น ความเชื่อทั้งหลายยังไม่ใช่ความจริง ถ้าเป็นความจริงแล้วไม่ต้องเชื่อเลยใช้คำว่า “ยอมรับ” ความจริงได้ (ความจริงได้แก่ลักษณะไตรลักษณ์ คือ ความไม่แน่นอน ความเป็นทุกข์ และการครอบครองยึดถือเป็นเจ้าของไม่ได้ ภาษาคุ้นๆ หู คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไงเล่า) คนจะมีความเชื่อได้ ต้องไม่สับสนกับความจริง และต้องมีความกล้าหาญที่จะเชื่อในสิ่งที่ดีๆ เช่น
- เชื่อชีวิตต่อจากนี้ไปจะดีขึ้น เชื่อว่าจะทำสิ่งดีๆ ได้มากขึ้น ใจเย็นขึ้น พูดเพราะขึ้น อดทนได้มากขึ้น
เชื่อว่าตัวเองมีความดี ความเก่ง ตามความจริง และเชื่อว่าคนอื่นมีความดี ความเก่งตามความจริงของเขาได้ทุกคนซึ่งสำคัญมาก เพราะจะทำให้เกิดความนับถือตัวเอง และคนอื่นตามความเป็นจริง ทำให้เกิดมิตรภาพที่ดีๆ ได้กับทุกๆ คน
- เชื่อว่าเกียรติยศที่ยิ่งใหญ่ไม่ใช่การไม่เคยล้ม แต่อยู่ที่การลุกขึ้นมาสู้ใหม่ได้ทุกครั้งที่ล้มต่างหาก
- เชื่อว่าทุกปัญหามีโอกาสแก้ไขได้ ฯลฯ
ความเชื่อที่ดีๆ ทำให้เกิดความอยากมีชีวิตต่อไป

ความหวัง (HOPE)

เมื่อเชื่อแล้วจึงเกิดความหวัง ความหวังที่ดีๆ ทำให้ชีวิตชุ่มชื่นมีชีวิตชีวา ลองหวังว่าจะมีความรัก มีอนาคตที่ดีๆ หวังว่าจะลดนิสัยที่ไม่ดีบางอย่างลงได้ และจะเพิ่มนิสัยที่ดีๆ บางอย่างให้ตัวเองได้ เพื่อจะทำให้ชีวิตในอนาคตจากนี้ไปมีคุณค่ามากขึ้น ผมชอบชื่อแหลม Good Hope ที่แอฟริกาใต้มาก เคยไปดื่มด่ำกับป้ายชื่อนี้ที่แหลมแห่งนี้มาแล้ว ให้กำลังใจดีจริงๆ
ความรัก (LOVE)

ความรัก จะเติมเต็มให้ชีวิต คนที่มีความรัก และได้รับความรักตอบนั้นเป็นคนที่มีความสุขมากๆ

คาริล ยิบราน กล่าวว่า “ชีวิตที่ปราศจากความรัก เหมือนต้นไม้ที่ปราศจากดอก และผล”

ความรัก เริ่มต้นจากการรู้สึกรักตัวเองได้ตามความจริง ภาคภูมิใจตัวเองได้ก่อน แล้วจึงจะไหลบ่าความรู้สึกดีๆ เหล่านั้นไปสู่ผู้อื่นต่อไป

ความรัก และมิตรภาพจะงอกงามได้ดีในบรรยากาศของความเกรงใจและให้เกียรติเสมอ ถ้าเมื่อไรหมดความเกรงใจ และให้เกียรติ ความรักจะกลายเป็นความกระด้าง ลามปาม และหยาบคาย ปัจจัยของความรักคือความเข้าใจ ยอมรับ เห็นอกเห็นใจ ช่วยเหลือและอภัย

ความรักสามารถเอาชนะทุกอย่างได้ แม้ความโกรธ

น่าเสียดายที่คนทุกวันนี้ไม่ค่อยมีความรักกัน หรือไม่แสดงความรักต่อกัน แต่ไปฝักใฝ่เรื่อเซ็กซ์กันหมด ซึ่งเป็นเรื่องของความเข้าใจคลาดเคลื่อน คิดว่าเป็นสิ่งเดียวกัน ร่วมกับการไม่ปลูกฝังความรักให้งอกงามในจิตใจของแต่ละคนด้วย

การให้อภัย (FORGIVE)

การอภัย ทำให้ชีวิตหมดทุกข์ และความรักทำให้เกิดความสุข ความชุ่มชื่นใจ
การอภัยเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก แต่พูดได้ง่าย การพูดถึงคำว่า “อภัย” หรือรู้ว่าการให้อภัยเป็นสิ่งที่ดีนั้น เป็นเพียงแค่เปลือกนอก หลายๆ คนทำได้ พูดได้ แต่การที่จะตระหนักถึงสำนึกของ “อภัย” จริงๆ นั้น เหมือนเป็นการขุดรากเหง้าของความโกรธแค้น ผิดหวัง อาฆาต น้อยใจ เสียใจออกไปจากจิตใจของเรา ซึ่งทำได้ยากมาก
ตัวจะรู้สึกเบาขึ้น จิตใจจะรู้สึกสะอาดขึ้น เมื่อเราอภัยผู้อื่นและตัวเองได้
คนจะอภัยได้นั้น ต้องเชื่อเรื่อง “กฎแห่งกรรม” เชื่อว่า…ถ้าใครมีข้อบกพร่องมากเท่าไหร่ ทำผิดมากเท่าไหร่ เขาก็ต้องรับทุกข์หรือเดือนร้อนจากข้อบกพร่อง (อกุศลกรรม) ของเขามากเท่านั้นในอนาคต
จึงไม่ใช่เรื่องของเราที่จะต้องไปโทษหรือตามไปจองเวรจองกรรมเขา ปล่อยเขาไปรับวิบากกรรมของเขาเอง ใจเราก็สะอาดและเบาขึ้นได้ และเราจะรู้สึกอภัยให้ทันที
หัวใจมนุษย์ทั้ง 4 ห้องนี้ ถ้าบรรจุสิ่งดีๆ 4 อย่างนี้เอาไว้ จะทำให้หัวใจมีคุณค่าพร้อมที่จะอยู่ในโลกปัจจุบันได้ดีขึ้น พร้อมจะสู้กับโลกภายนอก ที่กำลังร้อนรุ่มด้วยการกระทำของมนุษย์ที่อยู่ในยุควัตถุนิยม ที่เต็มไปด้วย Demand ที่เป็นโลภ โกรธ หลง มากขึ้นๆ
เมื่อเราเข้าใจ Demand ของเพื่อนมนุษย์ แสดงว่าเรามองโลกและชีวิตจากภายนอกเข้าหาภายใน (Outside In) ไม่ใช่มองจากภายในออกไปภายนอก (Inside Out) อย่างเดิมๆ ซึ่งเป็นการมองแบบค้นหา Supply ซึ่งไม่ถูกต้องกับยุคนี้แล้ว
โลกและชีวิตจะไม่เป็นเส้นตรงง่ายๆ หรือเป็นกล่องสี่เหลี่ยมอย่างที่เคยคิด เคยเข้าใจกันมาในอดีตอีกต่อไปแล้วแต่จะมีซอกหลืบให้เราหลงทาง ไขว้เขว และไม่เข้าใจมากขึ้น
เตรียมหาสิ่งดีๆ ใส่ในหัวใจสี่ห้องเอาไว้รับมือกับโลก และชีวิตดังกล่าวแล้ว…เถิด.
 
                                                               ศ.ดร.นพ.วิทยา นาควัชระ
 
*********************

วิธีทำให้ชีวิตให้โล่ง และ เบาขึ้น


      เมื่อเร็วๆ นี้ ผมได้เปิดตู้เสื้อผ้าดูเห็น มีเสื้อผ้าที่ไม่ได้ใช้เต็มตู้ไปหมด เคยนึกจะใช้เวลาเลือกเอาสิ่งที่เลิกใช้ไปแล้ว ไปบริจาคที่ไหนสักแห่งแต่ก็ยังไม่ได้ทำสักที

     เอาล่ะ...วันนี้เริ่มทำเสียที... ปรากฏว่า รื้อ ค้นได้เสื้อกางเกงเสื้อกันหนาวมากมายที่ไม่ได้ใช้แล้วหรือไม่อยากใช้แล้วนับเป็นร้อยชิ้นเมื่อเอาของ ออกจากบ้านไปบริจาคแล้ว มีความรู้สึกว่าตู้ เสื้อผ้าโล่งขึ้นตัวเองก็เบาลง ใจก็สบายขึ้นอย่างประหลาด รู้แล้วล่ะ...สิ่งที่ผมทำไปแล้วนั้น คือ การทำให้ชีวิตโล่งและเบาขึ้นนั่นเอง วันนี้เรามาคุยกันถึงวิธีทำให้ชีวิตเบาขึ้น โล่งขึ้น สบายขึ้น ดีไหม? วิธีทำให้ชีวิตโล่ง และ เบาขึ้น เช่น...1. เก็บของที่ไม่ใช้ เลิกใช้ เอาไปบริจาคให้ผู้เดือนร้อนเช่น เสื้อผ้ารองเท้าเฟอร์นิเจอร์เก่าๆ อย่าไปเสียดายกับของที่ไม่ใช้แล้วเลย
2. ลดงานที่เครียดๆ ลงบ้างเช่นงานประชุมที่เอาจริงเอาจังงานที่แข่งขันและหวังผลสูงถ้าเลือกได้
ลาออกจากการเป็นกรรมการอะไรต่อมิอะไรเสียบ้างก็ได้บรรยากาศของการประชุมมักจะเครียดเสมอสารความเครียดก็หลั่งตลอดเวลา...รู้ไหม?
3.เลือกไปงานที่สำคัญและควรจะไปเท่านั้นไม่เช่นนั้น่เราจะไม่มีเวลาเป็นของตัวเองเลย

4. อ่านหนังสือพิมพ์ หรือนิตยสารให้น้อยลง โดยเฉพาะข่าวอาชญากรรมหรือข่าวเครียดๆ ที่ซ้ำกันทุกวัน
5. เลิกดูรายการทีวี.ที่เครียด หรือรายการข่าวหนักๆ ที่ ซ้ำๆ กันทุกวันเช่น รายการที่มีพิธีกรมานั่งเถียงกัน พูดแข่ง พูดแซวกัน 2-3 คน ดูไปฟังไฟแทนที่จะ สบายใจกลับเครียดมากขึ้น น่าเบื่อด้วยซ้ำ
6. อย่ารับปากหรือสัญญาว่าจะทำอะไรให้ใครๆ ง่ายๆ ด้วยความเกรงใจเลยหัดปฏิเสธให้ เป็น

7. อย่าพยายามเปลี่ยนแปลงคนอื่นเลย ทำได้ยากมากจะทำให้เราจมปลักอยู่กับความผิดหวังในตัวคนอื่น และเกลียดชังสังคมรอบตัว พยายามรักคนอื่น และยอมรับเขาตามความเป็นจริงเถิด ถ้ารักไม่ลง ก็มองข้ามเขาไป และลดความคาดหวังในตัวเขาลงด้วยเมื่อเวลาผ่านไป เราหันไปมองเขาใหม่ เราจะเข้าใจยอมรับและรักเขาตามความเป็นจริงได้มากขึ้น
8. หัดไปไหนมาไหนคน เดียว เป็นเพื่อนตนเองได้จะลดขั้นตอนและความยุ่งยากใจเวลาจะต้องทำอะไรหรือไปไหนได้มากขึ้น

9. ลดความบ้างาน บ้าเงิน บ้าอำนาจ บ้าเกียรติยศชื่อเสียงลงบ้างจะทำให้คุณไม่เครียดกับการเฆี่ยนตัวเองให้ทำงานหนัก และแข่งขันกับคนรอบข้างตลอดเวลาจนลืมสร้างมิตรและไม่เคยพอใจตัวเองเลยไม่ว่าจะได้มามากเท่าไร

10. ถ้าจะรักใครสักคน อย่าหลงรักเขาทั้งหมดของชีวิตและอย่าเข้าไปก้าวก่ายชีวิตเขาด้วย จงคิดเพียงจะอยู่ข้างๆ เขาก็พอแล้วการรักแบบนี้จะทำให้รักกันได้นานๆ
 11. ลองแบ่งเวลาวันละ 1 ชั่วโมง ล้างจิตใต้สำนึกที่ไม่ดีออกไปให้หมดลองทำดูตามที่แนะนำมานะครับ เราจะรู้สึกว่าชีวิตโล่งและเบามากขึ้นเหมือนใส่เสื้อผ้าหลวมๆ ไม่คับ แคบ หรือรัดรึง อึดอัด เวลาตัวเองเบาๆ ใจสบายๆ ความคล่องตัวจะมีมากขึ้นจนคุณแปลกใจตัวเอง

                                                            ศ.ดร.นพ.วิทยา นาควัชระ

**************************

วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2554

คติธรรม ข้อคิด คำคม


"A house is made of brick and stone, but home is made of love alone"
"บ้านสร้างจากอิฐและหิน แต่บ้านจะเป็นบ้านได้จริงๆ ต้องสร้างขึ้นจากความรักเท่านั้น"
*********

"หมื่นคนกำหนด ฤาจะสู้จดบันทึกฟ้า
ร้อยล้านดวงชะตา ฤาจะสู้วาสนาคน"
**************
"เจ้าเกิดมา มีอะไร มาด้วยเล่า
เจ้าจะเอา แต่สุข สนุกไฉน
เจ้ามาตัวเปล่า แล้วเจ้า จะเอาอะไร
เจ้าก็ไป ตัวเปล่า อย่างเจ้ามา"

...พุทธทาส...
***************
“ การเปลี่ยนแปลงคือสัจธรรมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
สูตรสำเร็จที่เคยใช้ได้ในอดีต จะใช้ไม่ได้ต่อไปอีกแล้ว
ความผยองในความสำเร็จที่ผ่านมา
คือโรคร้ายที่จะทำให้เกิดความหายนะ ”

.....Dr. Hummer,  20 Jan. 95.....

**************************
     
  เป็นหญิง..ต้อง!

เป็นผู้หญิง ต้องรัก ศักดิ์ศรีหญิง
เป็นผู้หญิง ต้องเกรงกริ่ง สิ่งเสียหาย
เป็นผู้หญิง ต้องรู้ เชิงผู้ชาย

เป็นผูหญิง ต้องอาย หลายประการ
เป็นผู้หญิง ต้องหมั่น ในการเรียน
เป็นผู้หญิง ต้องเพียร เรียนงานบ้าน
เป็นผู้หญิง ต้องหลบ อย่าคบพาล
เป็นผู้หญิง ต้องชำนาญ การบ้านเอย.

           โดย.. พระราชวิจิตรปฏิภาณ วัดสุทัศน์.

***********************

"อ่อนไปก็ถูกเขาหมิ่น แข็งไปก็มีภัยเวร"
"ปริภูโต มุทุ โหติ อติติกฺโข จ เวรวา"

***********************

ในโลกใบนี้มีใครบ้างที่ดีพร้อมไปหมดเสียทุกอย่าง

หรือมีใครบ้างที่เลวพร้อมไปเสียทั้งหมดจนหาดีไม่ได้เอาเสียเลย

หากเธอกวาดตามองไปจนทั่วจาตุรทิศ เธอก็จะค้นพบสัจธรรมว่า..

คนทุกคนต่างก็มีดีมีเลวมากบ้างน้อยบ้างคละเคล้าปะปนกันไปในตัวเหมือน ๆ กัน..

พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี
  V.Vajiramedhi

***************
Sometime I...
"Write to Express...Not to Impress"
       
Andrew Biggs...

*******************

สุภาษิตของอินเดียกล่าวว่า
เวลามองผู้หญิง ให้มองทะลุไปถึงความเป็นแม่ ถ้าเธอมีความเป็นแม่ในตัวนั่นแสดงว่า เธอมีคุณสมบัติความเป็นภรรยาของคุณได้ในอนาคต ขณะเดียวกัน ผู้หญิงถ้ามองผู้ชาย ก็ต้องมองให้ทะลุไปถึงความเป็นพ่อที่มีในตัวของเขา ถ้าคุณเห็นความเป็นพ่อที่มีอยู่ในตัวเขา นั่นก็หมายความว่า เขาพร้อมแล้วที่จะมาเป็นสามีของคุณได้ในอนาคต
 V.Vajiramedhi
  *******************
 ทำตามคนอื่น เขาว่าเก่ง
ทำอย่างเราคิดิ  เขาว่าโง่???
   ***************
ไม่มีใคร่เก่งมาแต่เกิด
จึงต้อง มุ่งมั่น มานะ พยายาม หมั่นหาความรู้
ฝึกฝน  คัดลอก  ท่องจำ ทำซ้ำ จนกว่าจะทำได้...
**********************

ภาวะความเป็นผู้นำ
1. เก่ง
2. เสียสละ
3. มีธรรมะ
4. ไม่ลำเอียง
5. มีเครือข่าย
6. มีวาทะศิลป์
7. สุขภาพกาย ใจ สมบูรณ์
8. เป็นผู้นำบุญ
9. มีความเป็นครู ผู้ถ่ายทอดความรู้
โดย "” แห่งวัดฝายหิน จังหวัดเชียงใหม่

*******************************
คำสอนหลวงพ่อชา สุภัทโท

เธอจงระวังความคิดของเธอ
เพราะความคิดของเธอ
จะกลายเป็นความประพฤติของเธอ
เธอจงระวังความประพฤติของเธอ
เพราะความประพฤติของเธอ
จะกลายเป็นความเคยชินของเธอ
เธอจงระวังความเคยชินของเธอ
เพราะความเคยชินของเธอ
จะกลายเป็นอุปนิสัยของเธอ
เธอจงระวังอุปนิสัยของเธอ
เพราะอุปนิสัยของเธอ
จะกำหนดชะตากรรมของเธอชั่วชีวิต.

*******************************

หัวโขน สวมหัว คนเต้น


หมายเป็น ลิง-ยักษ์ สักครู่

ถอดโขน แล้วคน เดิมดู

ใช่ผู้ ยักษ์-ลิง สิ่งลวง

สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก พระนามเดิม วาสน์ พระฉายา วาสนมหาเถระ

*******************************







ถวายพระด้วยบัวแปดดอก





ในสมัยของพระพุทธเจ้าทีปังกร ณ เมืองปัจจันตคาม สาวน้อยนางหนึ่งนามว่า สุมิตตา ได้ร่วมกับชาวเมืองช่วยกันทำทางเพื่อรับเสด็จพระทีปังกรพุทธเจ้า และพระสาวก ในขณะที่ทุกคนกำลังหักร้างถางพงอยู่นั่นเอง ฤาษีตนหนึ่งนามว่า สุเมธดาบส ก็เหาะมาในอากาศ
สุเมธดาบส เห็นชาวเมืองชุมนุมกันอยู่จำนวนมาก จึงลอยตัวลงมาถามว่า ชาวบ้านมาชุมนุมกันเพราะเหตุใด ครั้นทราบว่าชาวบ้านกำล้งช่วยกันทำทางเพื่อรับเสด็จพระพุทธเจ้า สุเมธดาบส จึงอาสาร่วมมือด้วย
แต่ถึงแม้จะเร่งมือทำอย่างสุดชีวิต ทางก็ยังไม่เสร็จ เมื่อขบวนพระอริยสงฆ์มาถึง ก็ยังมีทางขาดอยู่ขนาดเท่าช่วงตัวพอดี ด้วยความศรัทธา สุเมธดาบสจึงนอนลงกับพื้นโคลน และนิมนต์ให้พระพุทธเจ้าและพระสาวกเดินเหยียบลงบนตัว ครั้งนั้น พระทีปังกรพุทธเจ้าทรงทำนายว่า ในภายภาคหน้าอีกหลายภพ หลายชาติ สุเมธดาบสจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
เมื่อสุมิตตาได้ยินดังนั้น ก็เกิดความเลื่อมใสในสุเมธดาบสสุดหัวใจ นางจึงรีบไปเก็บดอกบัวแปดดอกมาถวายพระพุทธเจ้ พร้อมทั้งขอพรจากพระองค์ว่า "ด้วยกุศลผลบุญที่หม่อมฉันได้สักการะบูชาพระพุทธองค์ในครั้งนี้ ขอให้สุเมธดาบสจงเป็นสามีของหม่อมฉันในภายภาคหน้าด้วยเถิด"
ด้วยแรงอธิษฐานของนาง ที่ได้ถวายดอกบัวแปดดอกในครานั้น ทำให้ทั้งคู่ได้เกิดเป็นคู่สามีภรรยากันอีกหลายภพหลายชาติ แม้บางชาติจะเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นสัตว์ทิพย์ หรือเป็นมนุษย์ แต่สุดท้ายก็สามารถบรรลุธรรมในชาติเดียวกัน
นางสุมิตตา ในครั้งนั้นคือพระนางพิมพา ส่วนสุเมธดาบส คือพระพุทธโคดม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั่นเอง .......
.......จาก ปรุงรักให้หวาน ด้วยน้ำตาลแห่งธรรม .....